วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2551

เก็บตกจากงานมหกรรมพืชสวนโลก-ราชพฤกษ์ 49

งานพืชมหกรรมสวนโลก-ราชพฤกษ์ 49 ที่ จ.เชียงใหม่ นับว่าเป็นงานใหญ่แห่งปีที่มีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติไปเยี่ยมชมกันมากที่สุดงานหนึ่ง เป็นเวลาหลายเดือนมาแล้วที่ใคร ๆ ก็กล่าวขวัญถึงงานนี้ และผู้เขียนก็คิดว่าถ้าไม่ได้ไปอาจจะ “ตกเทรนด์” ได้ ก็เลยมองหาโปรแกรมดี ๆ ที่จะไปเที่ยวงานนี้ตามกระแสสักหน่อย
หลังจากที่อดีตประธานสภาอาจารย์ – พ.อ.สุภโชค สัมปัตตะวนิช ได้เสนอจัดทัวร์ไปเที่ยวงานมหกรรมพืชสวนโลก-ราชพฤกษ์ 49 ผู้เขียนก็รู้สึกสนใจ และตัดสินใจสมัครเข้าร่วมคณะทัวร์ทันที โดยพาคุณแม่ไปเที่ยวด้วย งานนี้ มีผู้สมัครร่วมกลุ่มทัวร์น้อยกว่าที่คิด เพราะเปิดรับสมัครไว้ 40 ที่ แต่ถึงเวลาจริงๆมีผู้ร่วมเดินทางเพียง 21 คนเท่านั้น แม้จะเหงาไปหน่อย แต่ก็นั่งรถบัสไปกันอย่างสบาย
เราออกเดินทางกันในตอนเช้าตรู่ วันอาทิตย์ที่ 7 มกราคม โดยมีกำหนดเที่ยวครั้งนี้จนถึงวันพุธที่ 10 มกราคม ระหว่างการเดินทางขาไป มีเหตุการณ์น่าตื่นเต้นนิดหน่อย นั่นก็คือ ไฟไหม้รถ !! อย่าเพิ่งตกใจไป ไม่ได้รุนแรงอะไรค่ะ แค่อุปกรณ์เครื่องยนต์บางชิ้นขัดข้องจนไฟไหม้จนพลอยกระเด็นตกลงไปไหม้หญ้าข้างทางบ้างเท่านั้น ผลก็คือ ต้องนั่งอยู่แถว ๆ ข้างทาง คอยรถคันใหม่มาเปลี่ยน ใช้เวลาเดินทางเพิ่มจากเดิมอีกชั่วโมงหนึ่ง
เมื่อเดินทางไปถึง จ.เชียงใหม่ และเข้าที่พักที่โรงแรมพรพิงค์เรียบร้อยแล้ว คณะเราก็ออกเดินทางไป “รับประทานอาหารค่ำแบบขันโตก” ณ ศูนย์วัฒนธรรม จ.เชียงใหม่ งานนี้ อาหารก็อร่อยดีใช้ได้ เพียงแต่ต้องนั่งพื้นเพื่อให้ได้บรรยากาศขันโตกแบบแท้ ๆ ทำให้ขาเป็นเหน็บ เดี้ยงไปชั่วคราว และระหว่างที่รับประทานอาหาร ก็มีการแสดงศิลปวัฒนธรรมหลายชุด แถมทราบมาว่าราคาก็ไม่แพงเท่าไหร่ วันหลังถ้ามีโอกาสน่าจะไปอีกจัง
พอเสร็จจากมื้อค่ำ พวกเราบางส่วนขอแวะลงที่ “ถนนคนเดิน” แถว ๆ ประตูท่าแพ ที่พลาดไม่ได้ ก็เพราะถนนนี้มีคนมาออกร้านขายของกันแค่วันเสาร์-อาทิตย์เท่านั้น ดังนั้น แม้จะเหนื่อยจากการเดินทางแค่ไหนก็ต้องขอแวะให้ได้ แถมถนนนี้ก็ยาวมาก หลายแยก หลายซอกซอย เดินจนขาลากก็ยังไม่หมดซักที ในที่สุด ต้องถอดใจ นั่งรถสองแถวกลับโรงแรม
เช้ารุ่งขึ้น คณะทัวร์ของเราก็ออกเดินทางแต่เช้า มุ่งไปยังงานมหกรรมพืชสวนโลก หัวหน้าทัวร์ของเราได้เคยมา survey เส้นทางและวิธีการเที่ยวงานให้ได้ครบที่สุดมาแล้ว ส่วนใหญ่เราก็จะเดินเที่ยวตามแผนนั้น แต่จะเดินออกนอกเส้นทางกันบ้างก็ไม่เป็นไร ขอแค่ให้มาพบกันตอนขึ้นรถกลับเป็นใช้ได้ ตามแผนการนั้น หัวหน้าทัวร์แนะนำให้เดินมุ่งไปชม “หอคำหลวง” ก่อน ซึ่งดีมาก ๆ เพราะยังไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่นัก ได้ถ่ายภาพสวย ๆ มามากมาย แถมยังสามารถเดินเที่ยวกลุ่ม “สวนนานาชาติเฉลิมพระเกียรติ” ต่อได้เลย โดยเฉพาะสวนของเนเธอร์แลนด์ ยังมีคนมาไม่กี่คนก็ เลยได้ถ่ายรูปกับดอกทิวลิป กังหัน และสวมรองเท้าไม้ Dutch Clogs คู่ยักษ์เล่นได้อย่างสบาย ๆ ไม่ต้องต่อคิว จากนั้น ผู้เขียนก็ใจแตก เดินชมสวนต่อไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ถ่ายรูปมือเป็นระวิง เพราะแต่ละสวนประชันฝีมือการจัดกันสุดฤทธิ์ โซน “สวนองค์กรเฉลิมพระเกียรติ” ของหน่วยงานต่าง ๆ ก็น่าสนใจ แต่ที่ผู้เขียนชอบมาก ๆ ก็คงจะเป็นโซนนานาชาติ เพราะว่าดูหลากหลายดี เหมือนได้เข้าไปสัมผัสวัฒนธรรมของชาติต่าง ๆ แบบพอหอมปากหอมคอ
เพียงวันแรกก็ได้เที่ยวเกือบทั่วงานแล้ว ปิดท้ายด้วยการชมการแสดงแสงสีเสียง “มนต์แห่งรัตติกาล มหาจินตนฤมิต ดิน น้ำ ฟ้า” อันตระการตา ที่จัดขึ้นบริเวณลานราชพฤกษ์ หน้าหอคำหลวง พูดถึงการแสดงนั้น สวยงามมาก เทคนิคแพรวพราวสุด ๆ เสียอย่างเดียว ผู้รอชมการแสดงเยอะมาก จึงเกิดการแย่งชิงพื้นที่นั่งชมกันขึ้น ก็เป็นธรรมดาของงานที่มีคนเยอะ แต่ผู้เขียนไม่ชอบแย่งชิงกับใคร จึงเลี่ยงออกมาดูห่าง ๆ ซึ่งก็เห็นเหมือนกัน หลังจากจบการแสดงแล้ว รออีกสักครู่ก็ยังมีขบวนพาเหรดอีก ช่วงนี้ คนน้อยลงแล้ว จึงนั่งดูอย่างใกล้ชิดได้อย่างสบาย ๆ
พอจบโปรแกรมทั้งหมดของวัน ก็เดินทางกลับโรงแรม ระหว่างทางที่เดินไปขึ้นรถบัสนั้น ก็มีส่วนที่เป็นร้านขายของที่ระลึก มีตลาดต้นไม้ ให้เดินช็อปปิ้งกันได้บ้าง หาของฝากญาติมิตรติดไม้ติดมือสักหน่อย วันนี้ พอกลับมาโรงแรมแล้ว หลาย ๆ ท่านยังสามารถไปเดินเที่ยวไนท์บาซาร์ต่อได้ แต่ผู้เขียนไม่ไหว กลับห้องนอน แล้วหลับปุ๋ย
วันต่อมา เราก็ทำตามกำหนดการ คือ ไปเก็บตกเที่ยวงานมหกรรมพืชสวนโลกเพิ่มเติมอีกครึ่งวัน โดยใช้วิธีนั่งรถพ่วงจากจุดเริ่มต้นก่อน นั่งดูพร้อมฟังคำบรรยายไล่ไปจนเกือบถึงจุดสุดท้าย ทำให้ผู้เขียนพบว่า เราเดินเที่ยวเกือบครบหมดแล้ว ก็เลยเดินวันนี้ต่ออีกไม่เท่าไหร่ สวนที่มีการจัดไว้ตามประเภท เช่น สวนพืชเขตร้อนทะเลทราย สวนพืชเมืองหนาว สวนกล้วยไม้ ก็น่าสนใจมาก เพราะมีการคัดเลือกต้นไม้ ดอกไม้ที่สวย ๆ มาจัดแสดงเยอะจนละลานตาไปหมด ไม่รู้จะถ่ายมุมไหนดีเลย งานนี้ ลูกทัวร์แต่ละคนก็ได้รับประสบการณ์ในการเที่ยวชมงานพืชสวนโลกต่าง ๆ กันไป แต่ขอบอกว่าแผนการเที่ยวตามที่หัวหน้าทัวร์ของเราจัดเตรียมไว้ให้นั้นดีมาก เพราะผู้เขียนได้เที่ยวครบหมดทุกแห่งเลย
พอหมดเวลาครึ่งวัน ตามกำหนดการเดิม จะกลับโรงแรมไปพักผ่อนกัน เพราะคาดว่าจะต้องสลบกันเป็นแน่ แต่ปรากฏว่า แต่ละคนยังแรงดีกันอยู่ ก็เลยเปลี่ยนแผน ขึ้นไปไหว้ “พระธาตุดอยสุเทพ” กัน แต่ต้องนั่งรถสองแถวเล็ก ๆ ขึ้นไป โห... ทางวกวนมาก รถก็เล็กเหลือเกิน ทำให้เมารถกันไปหลายคน ก่อนจะไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพ ก็นั่งรถเลยขึ้นไปเที่ยว “พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์” กันก่อนด้วย ซึ่งถ้าไม่ได้ไปคงจะเสียดายแย่ เพราะดอกไม้ในสวนของพระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ก็สวยงามมากไม่แพ้งานพืชสวนโลกเลย งานนี้ได้ดูดอกไม้ดอกไร่กันจนหนำใจทีเดียว
กว่าจะลงมาจากดอยสุเทพ ก็ได้เวลาตามกำหนดการ ไปเที่ยว “สวนสัตว์ไนท์ซาฟารี” ต่ออีกแล้ว เรารีบไปต่อคิวกันแต่เนิ่น ๆ ก็เลยไม่ต้องรอนานมาก ที่สวนสัตว์ไนท์ซาฟารีนี้ มีการจัดไว้เป็นส่วน ๆ บริเวณด้านหน้าสุดจะเป็นสระน้ำกว้าง ๆ ซึ่งจะมี “โชว์น้ำพุเต้นรำ” ทุกครึ่งชั่วโมง ซึ่งทำได้สวยงามมาก ดนตรีประกอบก็ไพเราะ โรแมนติกน่าดู ทำให้รู้สึกเหมือนอยู่เมืองนอกเลย จากนั้น พอถึงคิว เราก็ขึ้นรถพ่วงไปชมสวนสัตว์ไนท์ซาฟารี ในโซนแรกและโซนที่สอง ระหว่างที่ชมสิงสาราสัตว์สองข้างทาง ก็มีเจ้าหน้าที่สาวอารมณ์ดีคอยบรรยายถึงสัตว์ประเภทต่าง ๆ ที่เรากำลังชมอยู่ เด็ก ๆ พวกนี้ พูดจาฉะฉานน่ารัก เข้าท่าดีทีเดียว สัตว์บางชนิดก็เหมือนกับรู้ว่าตัวเองกำลังเป็นดารา แหม...โชว์ใหญ่เลย หรือไม่ก็มายืนสลอนให้เราดู จนผู้เขียนอดคิดไม่ได้ว่า นี่เรามาดูสัตว์ หรือสัตว์มาดูเรากันแน่นะนี่ พอนั่งรถชมสัตว์ครบทั้งสองโซน ก็ยังเหลืออีกโซนหนึ่งที่ต้องเดินชม ระยะทางค่อนข้างไกล แต่ก็มีสัตว์แปลก ๆ ให้ชมระหว่างทาง ก็เพลินดีค่ะ ไม่รู้สึกเบื่อเลย เสียอย่างเดียว มืดไปหน่อย (ก็มันเป็น ไนท์ซาฟารี นี่นา) สรุปว่า ส่วนตัวแล้ว ผู้เขียนรู้สึกประทับใจ เพราะไม่ได้ไปเที่ยวสวนสัตว์มานานแล้ว และนี่ก็เป็นสวนสัตว์ที่แหวกแนวดี เห็นว่าเป็นไนท์ซาฟารีแห่งที่สามของโลกทีเดียว
พอหมดวันที่สามนี้ ก็ฟรีสไตล์ค่ะ ดังนั้น พอกลับมาที่โรงแรมแล้ว ผู้เขียนก็เลยแว่บไปเดิน “ไนท์บาซาร์” เล็กน้อย ซึ่งอยู่ติดกับโรงแรมเลย โรงแรมนี้เค้าทำเลทองจริง ๆ พอได้ซื้อของที่ถูกใจแล้ว ก็กลับห้องมาหลับอุตุไปอีกคืน
เช้ารุ่งขึ้น วันสุดท้าย คณะทัวร์ก็เช็คเอาท์ออกเดินทางกลับกันแต่เช้า โดยแวะเที่ยวระหว่างทางบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ แวะร้านของฝาก แวะทานข้าวกลางวันที่ลำปาง นั่งรถบัสปุเลง ๆ สบาย ๆ กลับมาถึงโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าโดยสวัสดิภาพประมาณ 4 ทุ่มกว่า ๆ งานนี้ ผู้เขียนในนามของคณะลูกทัวร์ทุกท่าน ขอขอบคุณ พ.อ.สุภโชค สัมปัตตะวนิช หัวหน้าคณะทัวร์ ที่ได้ทุ่มเทจัดรายการเที่ยวที่น่าสนใจ และกรุณาวางแผนเที่ยวให้อย่างรอบคอบ ได้เนื้อหา สาระ และความบันเทิงอย่างครบถ้วน คราวหน้า ถ้ามีรายการดี ๆ เช่นนี้อีก ก็ขอเชิญสมาชิกสภาอาจารย์ ไปเที่ยวด้วยกันเยอะ ๆ นะคะ